VUCA World

VUCA

VUCA World เป็นแนวคิดสำคัญต่อการบริหารองค์กร ไม่ว่าจะเป็นผู้นำและบุคลากรในองค์กรควรศึกษา ทำความเข้าใจ เพราะโลกยุคปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลง ผันผวนและเกิดเรื่องไม่คาดฝันอยู่ตลอดเวลา ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

ด้วยเหตุนี้ โลกกลายเป็นความท้าทายใหม่ของผู้นำองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน หากองค์กรรู้ไม่เท่าทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ปรับตัว และไม่เตรียมพร้อมรับมือ อาจส่งผลให้องค์กรหลงทางต่อการปฏิบัติภารกิจหน้าที่ และไม่เกิดผลลัพธ์ตามเจตจำนงขององค์กร

บริบทโลกเปลี่ยนผ่านจาก Disruptive World เข้าสู่ VUCA World ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา คำว่า “วูก้า” (VUCA) ไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่เดิมเป็นแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นผู้นำที่เสนอโดยศาสตราจารย์ Warren Gamaliel Bennis

Warren Gamaliel Bennis (8 มีนาคม 2468 – 31 กรกฎาคม 2557) ชาวอเมริกัน เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์ด้านบริหารธุรกิจ ผู้ก่อตั้งและประธาน The Leadership Institute, University of Southern California ที่ปรึกษาองค์กร และนักเขียน นอกจากนี้ ยังมีประสบการณ์ในการทำงานด้านอื่นๆ อีกมากมาย Warren G. Bennis ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้บุกเบิกการศึกษาความเป็นผู้นำ

Warren G. Bennis เริ่มต้นจากการศึกษาเรื่องของการพัฒนาองค์กร (Organizational Development) โดยเป็นลูกศิษย์ของ Douglas McGregor ผู้คิดค้นทฤษฎี X และ Y ที่ใช้ในการจูงใจคน ในช่วงต่อมา Bennis เปลี่ยนบทบาทของตนจากนักวิชาการไปเป็นผู้บริหาร โดยไปเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัย Cincinnati ซึ่งในช่วงนั้น

Bennis พยายามใช้แนวคิดของ McGregor มาใช้ในการบริหาร

ต่อมา Bennis กลับไปทำงานด้านวิชาการอีกครั้ง โดยเป็นศาสตราจารย์ที่ University of Southern California ในช่วงหลัง Bennis ผลิตผลงานด้านภาวะผู้นำออกมาอย่างต่อเนื่อง

โดยผลงานที่สร้างชื่อให้กับ Bennis เป็นอย่างมาก คือ หนังสือที่เขียนคู่กับ Burt Nanus เรื่อง Leaders: The Strategies for Taking Changes (จัดพิมพ์ในปี 2528) ผลงานชิ้นนี้ได้พยายามศึกษาลักษณะร่วมของผู้นำที่ประสบความสำเร็จในสาขาต่างๆ ของอเมริกา

นอกจากนี้ Bennis ยังได้เป็นผู้ให้คำนิยามกับคำว่า Transformative Leadership ที่ปรากฎอยู่ในตำราด้านภาวะผู้นำเกือบทุกเล่มในปัจจุบัน ต่อมา ถูกนำไปใช้ในการทหารของสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายสงครามเย็นใกล้การล่มสลายของสหภาพโซเวียตและถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งหลังเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายนหรือ 9/11 รวมถึงใช้ในช่วงสงครามอัฟกานิสถานและสงครามอิรัก

จากนั้นในปี 2563 คำนี้เริ่มมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในแวดวงธุรกิจก่อนขยายไปสู่แวดวงอื่นๆ อย่างกว้างขวางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่มีความผันผวน ไม่แน่นอน ซับซ้อน และคลุมเครือ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ยากจะอธิบายและคาดเดาไม่ได้ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

V – Volatility
สถานการณ์ที่มีความผันผวน คือ สถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาอันสั้น โดยอาจเปลี่ยนแปลงในช่วงระยะเวลาวินาทีต่อวินาทีก็เป็นไปได้ มีความไม่คงที่ และไม่รู้ว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อใด ดังนั้น สถานการณ์ที่มีความผันผวนจึงวัดได้จากอัตราการเปลี่ยนแปลงของเรื่องหนึ่งๆ หลังเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเทียบกับก่อนเกิด

แม้ว่า เป็นสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงหรือทำนายไม่ได้ เกิดขึ้นอย่างฉับพลันไม่ทันตั้งตัว และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แต่เป็นสถานการณ์ที่เข้าใจได้ไม่ยากจนเกินไป และสามารถใช้ข้อมูลที่เพียงพอในการแก้ไขปัญหาได้ ยกตัวอย่างเช่น ตลาดหุ้น การเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน และราคาสินค้าที่ปรับขึ้นลงหลังจากภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือภัยสงคราม เป็นต้น  

เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความผันผวนส่วนใหญ่มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายนอกหรือสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยด้านช่วงเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาอันสั้น จึงเรียกว่า ความผันผวน ในทางกลับกัน หากเกิดการเปลี่ยนแปลงแต่ใช้ระยะเวลานาน อาจเรียกว่า กระแสหรือเทรนด์ (Trend) ทั้งนี้ ความผันผวนอาจก่อให้เกิดความเสี่ยง ความไม่มีเสถียรภาพ ความไม่เชื่อมั่น หรือการเปลี่ยนแปลงแบบไม่มีกฎเกณฑ์

U – Uncertainty
สถานการณ์ที่ไม่มีความแน่นอน คือ สถานการณ์ที่ขาดความชัดเจน หรือสถานการณ์ยังไม่เป็นที่แน่ชัด ทำให้คาดการณ์ได้ยาก ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยากต่อการตัดสินใจ หรือทำให้ไม่กล้าตัดสินใจ ยิ่งมีความไม่แน่นอนมากเท่าใด การคาดการณ์หรือการคาดเดายิ่งทำได้ยากมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงจุดยืนทางการเมือง การปรับเปลี่ยนองค์กร และการทดแทนของธุรกิจสมัยใหม่หรืออาชีพในอนาคต เป็นต้น

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน คือ ภายในองค์กรไม่มีข้อมูล ขาดข้อมูลที่จำเป็น หรือขาดความรู้ ทั้งนี้ การไม่มีข้อมูลทำให้ไม่สามารถวิเคราะห์และคาดการณ์ได้ จึงทำให้เกิดความไม่แน่ใจ และกลายเป็นสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน นอกจากนี้ สาเหตุยังเกิดจากปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่แอบแฝงเข้ามา และไม่ทันคาดคิดจนทำให้เกิดความไม่แน่นอน ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนอาจก่อให้เกิดทั้งวิกฤตและโอกาส อาทิ ภาวะชะงักงันการชะลอตัว และการปิดระบบ เป็นต้น

C – Complexity
สถานการณ์ที่มีความซับซ้อน คือ สถานการณ์ที่มีปัจจัยหรือตัวแปรจำนวนมากที่ต้องนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจ ปัจจัยแต่ละตัวต่างมีความเชื่อมโยงและส่งผลกระทบต่อกันอย่างมีนัยสำคัญ การส่งผลกระทบของปัจจัยแต่ละตัวอาจแตกต่างกัน ทั้งนี้ ความหลากหลายความเชื่อมโยง และความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต้องคำนึงถึงหรือนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจด้วย บางปัจจัยสามารถคาดเดาได้แต่บางปัจจัยไม่สามารถคาดเดาได้ หากปัจจัยมีจำนวนมาก สถานการณ์ยิ่งมีความซับซ้อนทำให้การวิเคราะห์สถานการณ์ และการหาข้อสรุปอย่างมีเหตุผลทำได้ยากเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น การทำธุรกิจสินค้าประเภทเดียวกัน แต่มีกฎหมายแตกต่างกันในแต่ละประเทศ การจัดบริการสาธารณะประเภทเดียวกันในชุมชนท้องถิ่นที่มีบริบทแตกต่างกัน และโครงสร้างระบบการเงินและเศรษฐกิจ เป็นต้น ทั้งนี้ สถานการณ์ที่มีความซับซ้อนสูง อาจทำให้เกิดความยุ่งยากในการแก้ไขและต้องใช้ระยะเวลานานในการแก้ไข การแก้ไขอาจต้องแก้ที่หลายปัจจัย เพราะแต่ละปัจจัยส่งผลกระทบต่อเนื่องกัน ถ้าปัจจัยตัวใดตัวหนึ่งเสียหายจะส่งผลกระทบต่อปัจจัยอื่นตามไปด้วย

A – Ambiguity

สถานการณ์ที่มีความคลุมเครือ คือ สถานการณ์ที่ขาดความชัดเจนในการตีความบางสิ่ง เป็นสถานการณ์ที่ไม่อาจหาความสัมพันธ์ระหว่างต้นเหตุและผลลัพธ์ได้ อีกทั้งปัจจัยที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ก็ไม่มีความกระจ่างชัด ทำให้ยากต่อการคาดเดาผลลัพธ์หรือไม่สามารถคาดเดาผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในระยะแรก เป็นต้น ทั้งนี้สาเหตุที่ทำให้เกิดสถานการณ์คลุมเครือมีความคล้ายคลึงกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน คือ ความไม่ชัดเจน ซึ่งอาจเกิดจากการขาดความเข้าใจ การขาดประสบการณ์ การไม่มีข้อมูล การได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน หรือการตีความผิดพลาด ซึ่งส่วนใหญ่การตีความมักใช้อารมณ์และความรู้สึกมากกว่าเหตุผลและข้อมูล ส่งผลให้เกิดความไม่แน่ใจ และยิ่งทำให้สถานการณ์เกิดความคลุมเครือมากขึ้น