ฟินแลนด์แดนความสุข

ฟินแลนด์แดนความสุข

ฟินแลนด์แดนความสุข ครองแชมป์ 7 สมัยซ้อน ประเทศที่มีความสุขมากที่สุดในโลก ทุกวันที่ 20 มีนาคมของทุกปีตรงกับวันแห่งความสุขสากลขององค์การสหประชาชาติและมีการเผยแพร่รายงานความสุขโลก (World Happiness Report) โดยการจัดอันดับจากการสำรวจความเห็นผู้คนในกว่า 140 ประเทศ และจัดอันดับความสุขโดยพิจารณาจากการประเมินชีวิตโดยเฉลี่ยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา คือระหว่างปี 2021-2023สำหรับปี 2024 ฟินแลนด์ยังคงครองตำแหน่งอันดับ 1 นับเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน

“ประเทศฟินแลนด์ ประเทศที่มีอากาศเย็น แสงเหนือออกมาเต้นระบำในฤดูหนาวและแสงแดดในฤดูร้อนจะส่องแสงตลอดทั้งคืน มีหลายสิ่งที่คิดไว้มากมายเกี่ยวกับเงื่อนไขทางสังคมที่เหมาะสมสำหรับความสุข เช่น กระเป๋าเงินที่ถูกส่งคืนหากถูกทิ้งไว้บนถนน ผู้คนช่วยเหลือกันอยู่เสมอ โอกาสด้านสุขภาพและการศึกษาที่มีคุณภาพสูงมากและกระจายไปทั่วโลก ฟินแลนด์มีผู้อพยพที่มีความสุขจากความพร้อมจะแบ่งปันกับผู้มาใหม่”จอห์น เฮลลิเวลล์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณสาขาเศรษฐศาสตร์จากวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์แวนคูเวอร์ มหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบียและบรรณาธิการผู้ก่อตั้งรายงานความสุขโลก

ด้าน Frank Martela นักปรัชญา นักวิจัยด้านจิตวิทยาที่ศึกษาพื้นฐานของความสุข วิทยากรที่ Aalto University ในฟินแลนด์และผู้เขียนหนังสือ “A Wonderful Life: Insights on Finding a Nothingful Existence” มักจะถูกถามอยู่เสมอว่า อะไรกันแน่ที่ทำให้ชาวฟินแลนด์พอใจกับชีวิตของตนมากเป็นพิเศษและเขาพบว่า 3 สิ่งที่ชาวฟินแลนด์ “ไม่เคยทำ” เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและความสุขอันล้นปรี่ คือ

1. ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนบ้านหรือคนอื่น

จากบทประพันธ์ที่มีชื่อเสียงของกวีชาวฟินแลนด์ที่กล่าวไว้ว่า “Kell’onni on, se onnen kätkeköön” หรือแปลอย่างคร่าวๆ ได้ว่า “อย่าเปรียบเทียบหรือโอ้อวดเกี่ยวกับความสุขของคุณกับคนอื่น” ซึ่งชาวฟินแลนด์ยึดมั่นตามนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงสิ่งของทางวัตถุและการแสดงความมั่งคั่งอย่างเปิดเผย

“ครั้งหนึ่งผมบังเอิญเจอชายผู้มั่งคั่งที่สุดคนหนึ่งในฟินแลนด์ เขากำลังเข็นรถเข็นเด็กไปยังสถานีรถราง ทั้ง ๆ ที่ เขาอาจจะซื้อรถราคาแพงหรือจ้างคนขับให้ตัวเองก็ได้ แต่เขาเลือกใช้บริการขนส่งสาธารณะ” นี่คือลักษณะที่พบเห็นได้ทั่วไปในฟินแลนด์ เช่นเดียวกับชาวฟินน์คนอื่นๆ ที่ต่อให้ร่ำรวยแค่ไหนมักจะใช้ชีวิตเรียบง่ายและไม่สนใจใคร่รู้เรื่องราวส่วนตัวของชาวบ้าน ทั้งนี้ แม้ฟินแลนด์จะเก็บภาษีในอัตราที่สูง แต่เห็นผลมากกว่าหลายประเทศ จากรายงานของ Brookings Institute ระบุว่า ฟินแลนด์เก็บภาษี 44% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ด้วยอัตราภาษีที่สูงทำให้หลายคนคิดว่า มีแนวโน้มที่คนฟินน์มีความสุขน้อยลง ตรงกันข้ามดูเหมือนว่าภาษีที่มีจัดเก็บสูงมากขนาดนี้ไม่กระทบ ชาวฟินแลนด์แต่อย่างใด ด้วยเหตุผลสองประการ คือ

ประการแรก ภาษีในฟินแลนด์มีอัตราก้าวหน้าสูง ดังนั้น คนรวยจึงจ่ายมากกว่าคนจนหรือชนชั้นกลางมาก ฟินแลนด์ยังมีระบบกฎหมายที่เรียกเก็บค่าปรับจำนวนมากจากคนร่ำรวยมากกว่าคนจนหรือชนชั้นกลาง

ประการที่สอง ชาวฟินน์เห็นประโยชน์ของการจ่ายภาษีแพงจากบริการต่างๆ ที่ภาครัฐจัดสรรให้แบบทันที เช่น การดูแลสุขภาพฟรี การดูแลเด็กฟรีและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เป็นต้น

2. ไม่มองข้ามประโยชน์ของธรรมชาติ

จากการสำรวจในปี 2563 ชาวฟินน์ 87% แสดงความคิดเห็นว่า ธรรมชาติมีความสำคัญต่อชีวิตของพวกเขา เพราะทำให้จิตใจสงบ มีพลังและผ่อนคลาย โดยชาวฟินน์ส่วนใหญ่คิดว่า ธรรมชาติไม่สามารถวัดคุณค่าได้ด้วยเงินและธรรมชาติทำให้สุขภาพและความเป็นอยู่ดีขึ้น

ในฟินแลนด์ พนักงานมีสิทธิได้รับวันหยุดฤดูร้อน 4 สัปดาห์ต่อปี หลายคนใช้เวลานั้นไปเที่ยวชนบทและดื่มด่ำกับธรรมชาติ ยิ่งสิ่งอำนวยความสะดวกน้อยลง แม้กระทั่ง จุดที่ไม่มีไฟฟ้าหรือน้ำประปาในบ้านยิ่งดีและที่สำคัญ ผู้คนจำนวนมากสามารถเข้าถึงธรรมชาติได้จากหน้าประตูบ้านของพวกเขา เหมือนกับที่ Frank อาศัยอยู่ใกล้กับ Helsinki Central Park พื้นที่สีเขียวอันอุดมสมบูรณ์ขนาดใหญ่และมีความยาวเกือบ 10 กิโลเมตร ซึ่งเขาจะไปเดินเล่นและออกกำลังกายที่นั่นเป็นประจำ

แม้ว่ากว่า 70% ของชาวฟินน์จะอาศัยอยู่ในเมือง แต่ชาวฟินน์มักจะเชื่อมตัวเองให้สัมพันธ์ใกล้ชิดกับธรรมชาติเป็นพิเศษ เหตุผลประการหนึ่ง คือ ความจริงที่ว่าฟินแลนด์เพิ่งจะมีความเป็นเมือง (Urbanization) เมื่อไม่นานมานี้ โดยชาวฟินน์ส่วนใหญ่เพียงหนึ่งหรือสองรุ่นเท่านั้นที่เพิ่งย้ายถิ่นฐานจากพื้นที่ชนบทมาสู่เขตเมือง

ฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีป่าไม้มากที่สุดในยุโรป แต่มีประชากรเบาบางที่สุดประเทศหนึ่งในโลก พื้นที่ประมาณ 75% ของฟินแลนด์ถูกปกคลุมด้วยต้นไม้และอีก 10% ถูกปกคลุมด้วยทะเลสาบ แม่น้ำ และแหล่งน้ำอื่นๆ ซึ่งหมายความว่า แม้ชาวฟินน์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองไม่เคยห่างไกลจากธรรมชาติเลย โดยพื้นที่ที่อยู่อาศัยในเมืองเกือบทั้งหมดอยู่ในระยะเดินสั้นๆ จากป่าธรรมชาติ เส้นทางจักรยานและเส้นทางเล่นสกี ขณะที่หลายเมืองยังมีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจริมน้ำช่วยให้ผู้อยู่อาศัยสามารถว่ายน้ำได้ทั้งในฤดูร้อนและฤดูหนาว

          นอกจากนี้ กิจกรรมกลางแจ้งของชาวฟินน์ เช่น การเดินป่า การเล่นสกีแบบครอสคันทรี การตกปลา และการตั้งแคมป์ เป็นที่นิยมในประชากรทุกกลุ่มอายุของฟินแลนด์ นอกจากนี้ ยังมีบ้านพักตากอากาศฤดูร้อนมากกว่า 500,000 หลัง ทั่วประเทศ ซึ่งจากประชากรทั้งหมดประมาณ 5.5 ล้านคน ทำให้ชาวฟินน์เกือบทุกคนมีโอกาสใช้เวลาว่างในชนบทหรือใกล้กับถิ่นทุรกันดารและด้วยทะเลสาบกว่า 188,000 แห่ง รวมถึงซาวน่าอีก 3,000,000 แห่งทั่วประเทศ จึงมีพื้นที่เหลือเฟือให้ชาวฟินน์ทุกคนได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด รวมถึงผ่อนคลาย และระบายความอัดอั้นตันใจ

3. ไม่ทำลายความเชื่อใจของชุมชน

ยิ่งระดับความไว้วางใจภายในประเทศสูงขึ้นเท่าใด พลเมืองก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น

การทดลอง “กระเป๋าเงินหาย” ในปี 2565 เพื่อทดสอบความซื่อสัตย์ของพลเมืองในประเทศต่างๆ ด้วยการทิ้งกระเป๋าเงิน 192 ใบ ใน 16 เมืองทั่วโลก ผลที่เกิดขึ้นคือในเฮลซิงกิ กระเป๋า 11 จาก 12 ใบถูกส่งคืนให้กับเจ้าของ ตอกย้ำว่า คนฟินแลนด์ไว้วางใจซึ่งกันและกันในระดับสูงและให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์เป็นอย่างมาก หากมีใครลืม Laptop ไว้ในห้องสมุดหรือทำโทรศัพท์หายบนรถไฟ ค่อนข้างมั่นใจได้ว่าจะได้คืน ขณะที่เด็กๆ จะขึ้นรถโดยสารสาธารณะจากโรงเรียนเพื่อกลับบ้านเองและออกไปเล่นข้างนอกโดยไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล

นอกจากนี้ บริการสาธารณะต่างๆ ยังดำเนินไปอย่างราบรื่น มีอาชญากรรมและการทุจริตในระดับต่ำ รวมถึงประชาชนให้ความไว้วางใจกับรัฐบาล ทำให้ฟินแลนด์ไม่เพียงแต่จะเป็นบ้านที่ชาวฟินน์อยู่ได้อย่างไร้กังวล ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ปลอดภัยสำหรับชาวต่างชาติด้วย แน่นอนว่า แม้ฟินแลนด์อาจจะเหน็บหนาวและมืดมิดมากกว่าเจิดจ้า แต่ด้วยภูมิประเทศที่ตั้งอยู่ไกลออกไปทางขั้วโลกเหนือมีประโยชน์เช่นกัน เพราะที่นี่สามารถมองเห็นแสงเหนือได้ประมาณ 200 คืนต่อปี หรือทุกคืนที่อากาศแจ่มใสในแถบแลปแลนด์

ท้ายที่สุด จาก ฟินแลนด์แดนความสุข ประเทศที่มีความสุขที่สุดถึงประเทศไทยที่อยู่ในลำดับที่ 56 คือ

  1. พุ่งเป้าไปในสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุขให้มากขึ้นและมองหาความสำเร็จให้น้อยลง ขั้นตอนแรกสู่ความสุขที่แท้จริงคือการกำหนดมาตรฐานของตัวเราเองแทนที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
  2. การใช้เวลาท่ามกลางธรรมชาติช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวา ความเป็นอยู่ที่ดี และทำให้เราเข้าใจและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นต้องหาวิธีเพิ่มความเขียวขจีให้กับชีวิต แม้ว่าจะเป็นเพียงการซื้อต้นไม้สักสองสามต้นเพื่อปลูกที่บ้านก็ตาม
  3. ลองนึกถึงวิธีแสดงตัวต่อชุมชนของคุณ คุณจะสร้างความไว้วางใจให้มากขึ้นได้อย่างไร? คุณจะสนับสนุนนโยบายที่สร้างจากความไว้วางใจนั้นได้อย่างไร การกระทำเล็กๆ น้อยๆ เช่น การเปิดประตูให้คนแปลกหน้าหรือการสละที่นั่งบนรถไฟก็สร้างความแตกต่างได้เช่นกัน

คุณธรรม จริยธรรม ธรรมาภิบาลไม่ใช่เรื่องของศาสนาจริงๆ