ทำงานกับคนต่างวัย

การทำงานร่วมกัน คณะทำงานจะมีขนาดใหญ่มากน้อยเท่าไรย่อมทำให้ความหลากหลายยิ่งมากตามไปเท่านั้น โดยเฉพาะการทำงานกับกลุ่มคน ที่มีหลายช่วงวัยหรือที่เรียกว่า Generation ความท้าทายย่อมยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย การที่มีคนที่มีความคิดหลากหลายมาอยู่ร่วมกัน จะทำให้กลุ่มงานมีแนวคิดที่ค่อนข้างแตกต่าง และอาจทำให้เกิดอุปสรรคในการทำงานได้ง่าย การจะระบุว่า คณะทำงานที่มีกลุ่มคนจำนวนน้อยกับจำนวนมากอย่างไหนจะดีกว่ากันนั้น เป็นเรื่องตัดสินใจได้ยาก เพราะองค์ประกอบร่วมแตกต่างกัน แม้ว่าคณะทำงานกลุ่มเล็ก ๆ แต่ถ้าแนวคิดของคนในกลุ่มแตกต่างกันมากย่อมจะทำให้การทำงานไม่สอดคล้องกัน ตรงกันข้ามกับคณะทำงานที่มีขนาดใหญ่ แต่สมาชิกทุกคนมีความคิดเห็นไปในทางเดียวกันย่อมจะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ

ยุคการทำงานปัจจุบัน หลายองค์กรประสบปัญหาความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนมากกว่าขั้นตอนการทำงาน เพราะปัจจุบัน ความแตกต่างระหว่างช่วงอายุของคนมีมากขึ้น (Generation) เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การแก้ปัญหาที่ดีคือการทำความเข้าใจคนในแต่ละ Generation หรือแม้แต่ตัวคุณเองที่เผลอ ๆ ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำมาว่า อยู่ใน Generation ไหน และ Generation นั้น ๆ เป็นอย่างไร ดังนั้น ควรพยายามทำความเข้าใจตนเองเพื่อเรียนรู้คนอื่นให้ได้ เมื่อเข้าใจตนเองและตัวตนของคนในแต่ละ Generation ย่อมจะมองเห็นข้อดีข้อเสียของแต่ละกลุ่มและจะช่วยเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณานำเอาข้อดีนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ต่องานและต่อองค์กร

ทำอย่างไรจึงจะทำให้คนหลาย Generation สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไม่มีอุปสรรค และมีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าสิ่งนี้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ หากทุกคนให้ความร่วมมือในการทำงานร่วมกัน กลุ่มคนทำงานในยุคปัจจุบันแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ

กลุ่มที่ 1 Baby Boomer (กลุ่มคนที่เกิดในช่วงพ.ศ. 2489 – 2507)

ถือเป็นช่วงวัยที่อยู่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ฉะนั้นคนกลุ่มนี้คือคนที่มีอายุตั้งแต่ 53 ปีขึ้นไป คนกลุ่มนี้จะมีวิถีการทำงานที่มีระเบียบ เคร่งครัด ประหยัด อดออม และรอบคอบ

คนกลุ่ม Baby Boomer จะทำงานแบบเคารพกฎเกณฑ์ กติกา มีความอดทน ให้ความสำคัญกับระดับความอาวุโส เน้นการทำงานหนักและการทุ่มเทให้กับการทำงาน มีความจงรักภักดีต่อองค์กรสูงและคนในกลุ่มนี้จะไม่เน้นการเปลี่ยนงานบ่อย ๆ

กลุ่มที่ 2 Generation X (กลุ่มคนที่เกิดในช่วงพ.ศ. 2508 – 2522)

ถือเป็นคนทำงานที่เกิดมาพร้อมกับพัฒนาการของวิดีโอเกม คอมพิวเตอร์ เพลงฮิปฮอป ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงมีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีความคิดสร้างสรรค์ แต่ก็เป็นคนง่าย ๆ ไม่เน้นความเป็นทางการเท่าไหร่นัก

ในแง่ของการทำงานนั้น Generation X เป็นกลุ่มคนที่ไม่เน้นทุ่มเทให้กับการทำงานทั้งหมด แต่จะเน้นให้ความสำคัญทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัว การทำงานเน้นการทำงานคนเดียว ไม่ค่อยชอบพึ่งพาใคร แต่ก็มีความคิดที่เปิดกว้าง พร้อมรับฟังคำแนะนำเพื่อปรับปรุงและพัฒนาการทำงานของตนเอง

กลุ่มที่ 3 Generation Y (กลุ่มคนที่เกิดในช่วงพ.ศ. 2523 – 2540)

คนในกลุ่มนี้จะเกิดมาท่ามกลางยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปพร้อม ๆ กับอินเตอร์เน็ต ดังนั้นคนในกลุ่มนี้จึงมีความคิดสร้างสรรค์ ชอบงานด้านไอที มองโลกในแง่ดี สามารถทำอะไรได้หลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน แต่ไม่ค่อยมีความอดทนเท่าไหร่นัก

คนกลุ่ม Generation Y เป็นกลุ่มคนที่มีความเป็นตัวเองสูง ไม่ค่อยชอบอยู่ในกรอบ ไม่ชอบเงื่อนไข แต่ในการทำงานนั้นพวกเขาสามารถทำงานหลาย ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน แต่ก็ชอบทำงานที่มีความชัดเจนว่ามีผลต่อตนเองและองค์กรอย่างไร

กลุ่มที่ 4 Generation Z (กลุ่มคนที่เกิดในช่วงพ.ศ. 2540 เป็นต้นไป)

คนในกลุ่มนี้จะเติบโตมาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เทคโนโลยี และอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ดังนั้นคนในกลุ่มนี้จึงสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้อย่างง่ายดายและเรียนรู้ได้เร็ว และค่อนข้างมีพฤติกรรมที่เสพติดสื่อสังคมออนไลน์โซเชียลมีเดียต่าง ๆ

Generation Z เป็นกลุ่มคนที่เพิ่งเริ่มเข้าสู่วัยศึกษาและค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานในไม่ช้า คนกลุ่มนี้มีความเป็นตัวเองสูงมาก เน้นการทำงานที่ตนเองพึงพอใจ ไม่ค่อยชอบเงื่อนไขที่ยุ่งยาก ไม่ชอบพิธีการ แต่มีความสามารถในการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ดี

หลักการทำงานกับคนในแต่ละ Generation

  • ในปัจจุบันคนทำงานกลุ่ม Baby Boomer มักจะเป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดในบริษัท เมื่อต้องคุยงานคนทำงานกลุ่มนี้ ต้องมาคุยงานกันแบบเห็นหน้าเห็นตากัน มากกว่าที่จะคุยทางออนไลน์ เพราะคนกลุ่มนี้ไม่ได้เติบโตมาในยุคออนไลน์ คนกลุ่มนี้จะเป็นคนทำงานที่ชอบสั่งการ จึงมักจะไม่ค่อยลงรอยกับคนทำงานกลุ่ม Gen Y การทำงานร่วมกันคนทำงานกลุ่มนี้ จึงจะต้องใช้เหตุผลมาสนับสนุน เมื่อคำสั่งการของคนกลุ่มแต่เราไม่เห็นด้วย
  • และในขณะที่เหล่า Baby Boomer ค่อย ๆ เกษียณจากโลกของการทำงานไป เหล่า Generation X คือผู้สืบสานรุ่นต่อไป ที่ชอบความชัดเจน กระชับไม่อ้อมค้อม ซึ่งคนในกลุ่มนี้มีความเข้าใจในเทคโนโลยีพอประมาณ ฉะนั้นจึงยอมรับการสื่อสารงานผ่านช่องทางออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นอีเมล์ หรือไลน์ แต่ในกรณีที่เป็นเรื่องที่เป็นทางการ หรือเรื่องจริงจังGeneration X มองว่าสมควรที่จะต้องพูดคุยกันต่อหน้า เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของคนในกลุ่มนี้คือไม่ชอบให้ใครบงการ ลักษณะการทำงานที่คนกลุ่มนี้ชอบคือการสั่งงานโดยให้โจทย์ปลายเปิด เพื่อให้พวกเขาได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์และได้ลองแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง พอ ๆ กับแนวการทำงานที่เน้นความสมดุลของชีวิต
  • คนในกลุ่ม Generation Y จะชื่นชอบความท้าทายใหม่ ๆ ดังนั้นการได้ลองท้าทายกับบทบาทใหม่ ๆ หรือการสลับทำนั่นทำนี่ในเวลาเดียวกันพวกเขาจะรู้สึกกระตือรือร้นที่จะลองสิ่งใหม่ ๆ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาจะส่ายหน้ากับกฎระเบียบที่เข้มงวดจนเกินไป หากต้องทำงานกับคนกลุ่มนี้ควรสร้างบรรยากาศการทำงานให้มีความผ่อนคลายเป็นกันเอง เอื้อต่อการให้อิสระในการทำงานและที่จะละเลยไม่ได้เลยคือการตอบสนองกลับ (Feedback) อย่างรวดเร็ว เพราะคนกลุ่มนี้ไม่ชอบรออะไรนานและไม่ชอบความคลุมเครือ ไม่ชัดเจน ฉะนั้น เมื่อสั่งงานไปอย่าลืมบอกผลดีของงานนั้นให้พวกGeneration Y ทราบ เพราะเมื่อพวกเขาทราบความสำคัญของงานพวกเขาพร้อมจะทุ่มเทให้งานนั้นทันที
  • ถือได้ว่าคน Generation Z คือ น้องใหม่ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่สังเวียนแห่งโลกการทำงาน ที่พวกเขามักจะมองโลกในแง่ดีไว้ก่อน มีความมั่นใจสูง ฉะนั้น ในการทำงานกับคนกลุ่มนี้ต้องเข้าใจว่าพวกเขามั่นใจในตัวเองค่อนข้างสูง เรียนรู้ได้เร็ว เทคโนโลยีใหม่ ๆ มีอิทธิพลต่อพวกเขาอย่างมาก ฉะนั้นบางครั้งคน Generation Z จึงมักจะไม่รอคำสั่งแต่จะคิดแล้วเสนอเองเลย ฉะนั้น หัวหน้างานจึงควรเน้นสั่งให้น้อย ฟังให้เยอะ พร้อมรับฟังพวกเขาอย่างจริงใจ และเน้นวัดคุณค่าของพวกเขาที่ผลงาน มากกว่าเรื่องส่วนตัว

กฎ 4 ประการเพื่อสานงานระหว่าง Generation

กฎข้อที่ 1 ร่วมด้วยช่วยกันแสดงความคิดเห็น

เมื่อต้องทำงานร่วมกันควรให้ทุกคน ทุก Generationได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่ว่าต่างคนต่างทำงานโดยที่ไม่รู้ว่าแผนงานนั้นเป็นอย่างไร การช่วยกันแสดงความคิดเห็นจะช่วยให้สามารถทำงานได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น แม้ว่าจะมีคนหลาย Generation อยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก แต่ก็จะไม่เกิดอุปสรรคในการทำงาน หากทุกคนได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็น แล้วลงความเห็นว่าการทำงานควรเป็นไปในทิศทางใด

กฎข้อที่ 2 ทำงานอย่างรู้หน้าที่

การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเริ่มต้นด้วยการรู้จักหน้าที่ของตัวเอง การที่มีรุ่นพี่อยู่ในทีมไม่ได้หมายความว่ารุ่นน้องจะต้องทำงานมากกว่า ทุกคนต้องช่วยกันทำงาน โดยแบ่งงานกันอย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดความเข้าใจในหน้าที่ของแต่ละคนเป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกัน ทุกคนต้องรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน รุ่นพี่ควรช่วยแสดงความคิดเห็น และรับฟังความคิดเห็นของรุ่นน้อง เปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเท่าเทียม ความเสมอภาคและยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น จะทำให้คนทำงานต่าง Generation อยู่ร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหาในการทำงาน

กฎข้อที่ 3 ตักเตือนอย่างเป็นเหตุเป็นผล

แน่นอนว่าไม่มีใครอยากถูกวิพากษ์วิจารณ์ หรือตักเตือน แต่หากเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจริงก็ไม่ควรต่อต้านหรือขัดขืน เพราะไม่เพียงแต่ทำให้ถูกมองว่าเป็นคนก้าวร้าวเท่านั้น แต่ยังจะทำให้การทำงานมีปัญหาได้ในภายหลัง เมื่อรุ่นน้องทำความผิดแล้วถูกรุ่นพี่ตักเตือน ควรรับฟังอย่างเปิดใจกว้าง และรุ่นพี่เองก็ควรตักเตือนอย่างเป็นเหตุเป็นผล อย่าใช้อารมณ์หรือความรู้สึกเป็นใหญ่

กฎข้อที่ 4 เคารพความแตกต่าง

การยอมรับในความแตกต่างเป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้คนหลาย Generation สามารถทำงานร่วมกันได้ โดยต้องยอมรับว่าความคิดเห็นที่แตกต่างไม่ได้ทำให้เราทำงานร่วมกันไม่ได้ แต่การไม่ยอมรับความหลากหลายทางความคิดต่างหากที่จะทำให้เกิดปัญหาในการทำงาน คนที่เคยทำงานมาก่อนต้องยอมรับความคิดเห็นของรุ่นน้อง โดยที่รุ่นน้องเองต้องไม่คิดว่าความคิดของรุ่นพี่เก่าหรือล้าสมัย แต่ต้องยอมรับในประสบการณ์ในการทำงานที่มีมากกว่า

การที่จะให้คนหลาย Generation สามารถทำงานร่วมกันได้ ทุกคนต้องเปิดใจยอมรับความแตกต่าง และต้องไม่มีอคติต่อกัน การที่มัวแต่คิดว่าความคิดเห็นของคนอื่นดูไม่น่าเชื่อถือหรือไม่มีเหตุผลมากพอ จะทำให้เราไม่สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ แต่ยังจะทำให้เกิดอุปสรรคในการทำงานอีกด้วย